บันทึกอนุทินครั้งที่4

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

                                         วิชา
การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

          
                 
อาจารย์ผู้สอน  อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
                วัน/เดือน/ปี   27 มกราคม  2558  ครั้งที่ 4
               เวลาเข้าสอน  14.00 น. เวลาเรียน 14.10  น.
     เวลาเลิกเรียน   17.30 น.

กิจกรรมภายในวันนี้

เนื้อหาและความรู้ที่ได้รับ

     วันนี้อาจารย์เข้ามาก็ให้จัดโต๊ะเป็นรูปตัว  u และถอดรองเท้าไว้หน้าห้องอย่างเป็นระเบียบอาจารย์ก็สอน เรื่องการจัดประสบการณ์
การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัยและบทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม


บทเนื้อหา


เนื้อหา  เรื่อง การจัดประสบการณ์
การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

      รูปแบบการจัดการศึกษา

    -การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
    -การศึกษาพิเศษ (Special Education)
    -การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
    -การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education


การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 

     เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
     การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวันครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน


การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 

       การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลาเด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ  เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) 
      การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียนเด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน


ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
    -การศึกษาสำหรับทุกคน
    -รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา 
    -จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Wilson , 2007
 -การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
-การสอนที่ดีเป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
-กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ 
-เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
                       

         "Inclusive Education is Education for all, It involves receiving people at the beginning of their education, with provision of additional services needed by each individual"

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม

      เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
       เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน(Education for All)
การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็น   เด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
       เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน 

       ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก



ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม สำหรับเด็กปฐมวัย
     ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้  “สอนได้”
เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด



                 เนื้อหา เรื่อง  บทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย

   การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่างจากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก

    -เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
    -ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป

    -เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ

   -พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
   -พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
   -ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิด      ความหวังผิดๆ
   -ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้

   -ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

ครูทำอะไรบ้าง

    -ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
    -ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
     -สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
     -จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ


สังเกตอย่างมีระบบ

    -ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
    -ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า

    -ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา


แบบสังเกตของครู







การตรวจสอบ
    -จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
    -เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น

    -บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
   -ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้ 
   -ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้   
   -พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การบันทึกการสังเกต
    •การนับอย่างง่ายๆ
    •การบันทึกต่อเนื่อง

    •การบันทึกไม่ต่อเนื่อ

การนับอย่างง่ายๆ
    •นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
    •กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง

    •ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง
•ให้รายละเอียดได้มาก
•เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
•โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
    •บันทึกลงบัตรเล็กๆ

    •เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
    •ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง

    •พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
      •ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
      •พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่


ความรู้ที่สามารถนำไปใช้
    
     ได้ความรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการเรียนรวมและการเรียนร่วม ซึงการเรียนร่วมคือ ไม่ได้พามาแต่แรกครูการศึกษาพามา ครูการศึกษาพิเศษจะมารับกลับ ซึ่งครูการศึกษาพิเศษจะเป็นผู้ดูแล 
การเรียนรวม ได้รับการดูแลของพ่อแม่และครูสถานะเหมือนเด็กปกติทั่วไป ซึ่งตรงนี้เราจะแยกแยะได้และเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน การวางตัวของบทบาทครูปฐมวัย ต้องรู้จักการสังเกตเด็ก ต้องยอมรับและตั้งรับสถานณการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กปกติ และเด็กปฐมวัย การที่ครูให้เด็กปกติได้เล่นกับเด็กพิเศษจะเป็นการเสริมกำลังใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมกับเด็กพิเศษได้เป็นอย่างดี

      วันนี้อาจารยให้วาดภาพ ดอกชบา ซึ่งเป็นการสังเกตจากภาพเหมือนและบรรยายใต้ภาพที่เห็น


                                          ผลงาน

                        
        ดอกชบา เป็นดอกไม้ที่สวย สีเจิดจ้า แดงอร่าม เกสรที่สวยงามเปรียบเสมือนความบริสุทธ์ ของความดี


ประเมินตนเอง

     เข้าห้องเรียนก่อนเวลาและจัดโต๊ะเป็นรูปตัว u แต่งกายชุดเอกสีชมพู เข้าใจข้อตกลงร่วมกันภายในห้อง พูดบ่อย ในบางครั้งก็ฟังเนื้อหาที่อาจารย์สอนไม่ทันเพราะคุยกับเพื่อน

ประเมินเพื่อนๆ
      
     เพื่อนๆ ร่าเริงแจ่มใส  สนใจเรียนและมีชีสเอกสารประกอบทุกคนฟังอาจารย์ดี เพื่อนบางคนก็พูดบ่อย แลกเปลี่ยนคำถามกับอาจารย์บ่อย

ประเมินอาจารย์

      อาจารย์แต่งกายสุภาพ อาจารย์อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา อาจารย์สอนและมีตัวอย่างเนื้อหามาให้ดูในแบบสังเกตเด็ก ได้อย่างเข้าใจ 

ความรู้เพิ่มเติม/ข้อเสนอแนะ
     ในสมัยก่อนการศึกษาปกติทั่วไปโดยเด็กปกติเรียนแต่เด็กพิเศษกลับไม่ได้เรียนเพราะไม่มีคนยอมรับในตัวเด็ก จึงซุกซ่อนอยู่ที่บ้าน








0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น